Fresh Air System คืออะไร? คู่มือฉบับผู้เชี่ยวชาญสำหรับออกแบบ ติดตั้ง และดูแลระบบอากาศสดชื่นในอาคาร
ในยุคที่ผู้คนใช้เวลาในอาคารมากกว่า 80–90% ของวัน “คุณภาพอากาศภายในอาคาร” (Indoor Air Quality: IAQ) ไม่ใช่เรื่องรองอีกต่อไป Fresh Air System คือหัวใจของ IAQ ที่ดี—เป็นระบบที่นำ “อากาศภายนอกที่ผ่านการกรองและควบคุมสภาพ” เข้ามาแทนที่อากาศค้างในอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂), สารระเหย (TVOCs), กลิ่น, ฝุ่นละออง และความชื้นส่วนเกิน พร้อมทั้งช่วยให้ระบบปรับอากาศ (HVAC) ทำงานเสถียร ประหยัด และยืดอายุการใช้งาน
บทความนี้จะพาคุณลงลึกตั้งแต่หลักการทำงาน องค์ประกอบ การคำนวณอัตราลม การเลือกฟิลเตอร์ การควบคุมพลังงาน (Energy Recovery/EC Fan), แนวปฏิบัติในภูมิอากาศร้อนชื้นอย่างไทย ไปจนถึงการคอมมิชชันนิ่งและบำรุงรักษา—เรียบเรียงแบบเข้าใจง่าย แต่ครบเครื่องในระดับผู้เชี่ยวชาญ
1) Fresh Air System คืออะไร และทำไมต้องมี?
Fresh Air System (ระบบลมสด) คือชุดอุปกรณ์ที่ “ดูดอากาศภายนอก → กรอง → ปรับสภาพ (อุณหภูมิ/ความชื้น) → ส่งเข้าพื้นที่ใช้งาน” โดยทำงานประสานกับระบบปรับอากาศเดิม (เช่น FCU/AHU) เป้าหมายคือ:
- รักษาระดับ CO₂ ให้อยู่ในช่วงสบาย (มักอ้างอิงไม่เกิน ~800–1,000 ppm สำหรับอาคารทั่วไป)
- ลดคลื่นไส้ ง่วง เหนื่อยล้า จากอากาศค้าง และลดกลิ่น/สารระเหย
- ควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ (RH) ให้สบาย (~40–60%) ลดเชื้อราและฝุ่นละอองเกาะ
- ป้องกันแรงดันลบในอาคารที่ดึงกลิ่น/ควันจากจุดไม่พึงประสงค์เข้ามา
ประโยชน์ทางธุรกิจ ที่พิสูจน์ได้ในงานจริง:
- เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการทำงาน
- ลดปัญหา Sick Building Syndrome
- ลดเคลมงานบริการ/ร้องเรียนจากผู้ใช้อาคาร
- เมื่อออกแบบถูกต้อง ร่วมกับ Energy Recovery จะช่วย ประหยัดพลังงานรวม ได้อย่างมีนัยสำคัญ
2) องค์ประกอบหลักของ Fresh Air System
- ชุดรับอากาศ (Outside Air Intake & Louver)
ป้องกันน้ำฝน/สัตว์/ใบไม้ ไหลเวียนราบรื่น ลดแรงดันสูญเสียตั้งแต่ต้นทาง - พัดลมลมสด (Supply/Make-up Air Fan)
เลือกให้สอดคล้องกับปริมาณลมและแรงดันระบบดักท์ ควรใช้ EC Motor หรือพัดลม + VFD เพื่อปรับรอบตามโหลดจริง ลดไฟและเสียง - ชุดกรองอากาศ (Air Filtration)
อย่างน้อยควรมี “ด่านหยาบ” (Pre-filter) + “ด่านละเอียด” (เช่น ระดับ F/MERV กลาง–สูง) สำหรับเมืองที่ PM2.5 แรง แนะนำเสริมแผ่นละเอียดขึ้นหรือ HEPA ในพื้นที่วิกฤต - ชุดปรับสภาพ (Conditioning Coil / DX / ERV/HRV)
- Cooling/Dehumidifying Coil: ลดอุณหภูมิและความชื้น
- ERV/HRV (Energy/Heat Recovery Ventilator): ถ่ายเทพลังงานระหว่างลมเข้า–ลมทิ้ง ลดโหลดเครื่องปรับอากาศ
- ระบบดักท์และแดมเปอร์
ออกแบบหน้าตัดและความเร็วลมเหมาะสม ลดเสียงและการสูญเสีย ใช้ Motorized Damper ปรับอัตราลมและสร้าง Positive Pressure เล็กน้อยในอาคาร - ระบบควบคุมและเซนเซอร์
CO₂, RH, อุณหภูมิ, ΔP ฟิลเตอร์ (เตือนตัน) พร้อม BMS/IoT เพื่อทำ Demand-Controlled Ventilation (DCV)—ให้อากาศสด “เท่าที่จำเป็น” ตามจำนวนคนจริง
3) วิธีคำนวณ “อัตราลมสด” แบบเข้าใจง่ายแต่แม่นพอใช้งาน
การกำหนดอัตราลมสดมี 2 แนวคิดหลัก (มักใช้ร่วมกัน):
- ตามจำนวนคน (L/s ต่อคน) – เหมาะกับสำนักงาน ห้องเรียน ฟิตเนส ฯลฯ
- ตามพื้นที่ (L/s ต่อ m² หรือ ACH) – เหมาะกับพื้นที่มีการระบายสารระเหยจากวัสดุ/เฟอร์นิเจอร์มาก
ขั้นตอนย่อ:
- ประมาณ จำนวนคนสูงสุด (Peak Occupancy) และ พื้นที่ใช้สอย
- กำหนดอัตราลมต่อคน + ต่อพื้นที่ (ใช้อ้างอิงแนวปฏิบัติ/มาตรฐานที่องค์กรยึดถือ)
- รวมสองส่วน → ได้ L/s รวม (หรือ m³/h)
- เผื่อ Diversity Factor และ Safety Margin 10–20% (ตามลักษณะอาคาร)
- ตรวจสอบ ความดันบวก ภายในอาคาร (ปกติ 5–15 Pa) เพื่อกันกลิ่น/ฝุ่นดูดเข้า
เคล็ดลับผู้เชี่ยวชาญ:
- ถ้าใช้ DCV จากเซนเซอร์ CO₂ ให้ตั้งค่า Minimum OA ตายตัวระดับหนึ่ง เพื่อกัน “ความหน่วง” ของระบบก่อน CO₂ ลดลง
- สำหรับโถงลิฟต์/โถงรับรอง ให้ใช้ OA ช่วย “ผลัก” อากาศจากสะอาด → สกปรก (Directional Airflow) ลดการปนเปื้อน
4) ฟิลเตอร์: เลือกให้ถูกที่—ประหยัดและปลอดภัย
- Pre-filter (หยาบ): ดักฝุ่นใหญ่ ยืดอายุด่านละเอียด ค่า SP ต่ำ ล้าง/เปลี่ยนง่าย
- Fine Filter: เลือกระดับที่เหมาะกับ IAQ เป้าหมายและ PM2.5 เมืองใหญ่
- HEPA/ULPA: ใช้เฉพาะโซนเฉพาะ (สถานพยาบาล/คลีนรูม) เพราะ SP สูงและค่าใช้จ่ายมาก
- ติดตั้ง Differential Pressure Gauge/Switch ก่อน–หลังฟิลเตอร์ทุกชั้น เพื่อวางแผนเปลี่ยนอย่างมีข้อมูล (ไม่เปลี่ยนช้า/เร็วเกินไป)
5) Energy Recovery (ERV/HRV) และการประหยัดพลังงานจริงจัง
ในประเทศไทยที่ ร้อน–ชื้น การดึงลมร้อนชื้นเข้ามาจำนวนมากโดยไม่ถ่ายเทพลังงาน จะทำให้ระบบปรับอากาศแบกรับโหลดสูง ERV/HRV จึงคุ้มค่าอย่างยิ่ง:
- HRV: แลกเปลี่ยน “ความร้อนสัมผัส” (อุณหภูมิ)
- ERV: แลกเปลี่ยนทั้ง ความร้อนและความชื้น (เหมาะอย่างยิ่งกับเขตร้อนชื้น)
ข้อดีของ ERV ที่เห็นผลในไซต์งานจริง
- ลดโหลดคอยล์เย็น → คอมเพรสเซอร์ทำงานเบาลง
- ลดขนาดเครื่องปรับอากาศที่ต้องติดตั้ง (ในบางเคส)
- ลดค่าไฟรวม โดยเฉพาะอาคารเปิดใช้งานยาวนาน/คนหนาแน่น
กลยุทธ์ประหยัดขั้นสูง: EC Fan + ERV + DCV (CO₂/RH) จะได้ผลรวมสูงสุด เพราะคุณ “ลดอัตราลมสดเกินจำเป็น” และ “ลดโหลดความร้อน/ความชื้น” พร้อมกัน
6) ดีไซน์สำหรับภูมิอากาศร้อนชื้น (เช่น กรุงเทพฯ และเมืองชายทะเล)
- คุมความชื้นก่อนเข้าอาคาร: ใช้คอยล์เย็น/ชุดลดความชื้น หรือ ERV ชนิดถ่ายเทความชื้น
- ป้องกันการควบแน่น: พื้นที่เปลือยบนดักท์/ชุดเครื่องต้องหุ้มฉนวนและกันไอ (Vapor Barrier) อย่างถูกต้อง
- Positive Pressure: รักษาแรงดันบวกเล็กน้อย เพื่อต้านความชื้นแทรกซึมจากภายนอก
- หลีกเลี่ยงลมฝน: เลือกตำแหน่ง Louver และ Hood ให้กันฝนสาด ลดน้ำเข้าระบบ
- ควบคุมกลิ่นเมือง/ท่อระบาย: เลือกจุด OA ให้ห่างปล่องควัน/ท่อไอเสีย และปรับทิศ Louver ให้พ้นทิศลมไม่พึงประสงค์
7) พัดลม/มอเตอร์: เสียงต่ำ ประหยัดไฟ ควบคุมเนียน
- เลือกพัดลม Backward-Curved/Plug Fan คู่กับ EC Motor (หรือ AC+VFD คุณภาพดี) เพื่อเสียงต่ำและปรับรอบได้ละเอียด
- Fan Laws: ลดรอบ 10–20% → ลดกำลังไฟ ~27–49% จึงควรใส่การควบคุมที่ฉลาด (ตาม CO₂/RH/ตารางเวลา/Occupancy)
- ออกแบบ Straight Duct หน้า–หลังพัดลม เพื่อลด System Effect และเสียงปั่นป่วน
- ติดตั้ง Silencer/Acoustic Lining เฉพาะจุดจำเป็น อย่าใช้มากเกินจน SP พุ่ง
8) เสียงและความสบาย: IAQ ดี เสียงต้องดีด้วย
- จำกัดความเร็วลมในดักท์ตามพื้นที่ใช้งาน (ออฟฟิศควรต่ำกว่าโซนอุตสาหกรรม)
- ใช้ Flexible Connector ที่พัดลม, ฐานยาง/สปริงกันสั่น ลดเสียงโครงสร้าง
- ตั้ง Setpoint รอบพัดลม ตามช่วงเวลา—เช้า–บ่าย–เย็น—เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงพุ่งช่วงเงียบ
- สำหรับห้องประชุม/สตูดิโอ ให้ตัด VAV Box หรือ Nozzle Diffuser ที่ให้ความเงียบและกระจายลมดี
9) การคอมมิชชันนิ่ง: ทำครั้งเดียว ให้ได้ “ค่าจริง”
หลังติดตั้ง ควร ทดสอบ–ปรับแต่ง (T&B) ดังนี้
- วัด ปริมาณลมสดจริง ที่ปลายดักท์และจุดจ่ายสำคัญ ปรับแดมเปอร์ให้ตรงแบบ
- ตรวจ แรงดันบวก โซนใช้งานหลัก (เช่น โถง, สำนักงาน) ให้ได้ตามเป้า
- วัด CO₂ และ RH ในชั่วโมงใช้งานจริง ช่วงคนน้อย–ปานกลาง–พีก และจูนกติกา DCV
- บันทึก kW ของพัดลม/คอมเพรสเซอร์ ก่อน–หลังปรับ ตั้งเป็น Baseline ให้ทีม FM
10) บำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (PdM) และแผน PM ที่ไม่สิ้นเปลือง
รายเดือน:
- ทำความสะอาด Pre-filter, ตรวจสกรู/ยางกันสั่น, เช็กการควบแน่น/หยดน้ำ
รายไตรมาส: - วัด ΔP ฟิลเตอร์ละเอียด, ตรวจรอบ/กระแสมอเตอร์, ฟังเสียงแบริ่ง, เก็บค่า CO₂/RH เปรียบเทียบ Baseline
รายปี: - เซอร์วิส ERV Core/คอยล์ ลดตะกรัน–เชื้อรา, ทำความสะอาดพัดลมและรีบาลานซ์ถ้าจำเป็น, ทวนแบบแปลนจริง (As-built) และอัปเดต Setpoint ตามพฤติกรรมผู้ใช้อาคารปีล่าสุด
KPI ที่ชี้วัดสุขภาพระบบ: CO₂ เฉลี่ยพื้นที่หลัก, RH เฉลี่ย, kWh ต่อชั่วโมงใช้งาน, ΔP ฟิลเตอร์, ค่าบำรุงรักษาต่อปี
เมื่อค่าใดเริ่ม “ไหลออกจากราง” ให้สืบที่สาเหตุ—มักพบที่ฟิลเตอร์ตัน, VAV ติด, หรือเซนเซอร์เพี้ยน
11) ตัวอย่างคำนวณ ROI (ย่อ)
อาคารสำนักงาน 1,000 m² ผู้ใช้งาน 100 คน
- เดิมใช้วิธี “เปิดประตู–หน้าต่างบางส่วน” ได้ลมไม่แน่นอน CO₂ ช่วงพีก >1,200 ppm
- ติดตั้ง Fresh Air System + ERV + EC Fan + DCV อัตราลมออกแบบ ~1,200–1,500 m³/h
- หลังจูนระบบ: CO₂ เฉลี่ยชั่วโมงพีก ~800–900 ppm, RH 45–55%
- ค่าไฟพัดลมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ โหลดชิลเลอร์ลด จากการกู้พลังงาน ERV และการ ลดอัตราลมเมื่อคนบางช่วง
- ประมาณการคืนทุน ~12–24 เดือน (ขึ้นกับค่าไฟ ช่วงเวลาทำงาน และประสิทธิภาพเดิม)
12) ความเข้าใจผิดที่เจอบ่อย (และวิธีแก้)
- “อาคารมีแอร์ก็พอแล้ว ไม่ต้องลมสด”
→ แอร์เพียง “หมุนเวียน–ลดอุณหภูมิ” แต่ไม่ทดแทนอากาศค้าง Fresh Air จำเป็นต่อ IAQ และสุขภาวะ - “เปิดประตู–หน้าต่างแทนได้”
→ ลมภายนอกไม่สม่ำเสมอ ฝุ่น/ความชื้น/กลิ่นเข้ามาไม่คุม ส่งผลต่อพลังงานและสุขภาพ - “ใส่ฟิลเตอร์ละเอียดสุดไว้ก่อน”
→ SP สูง คอมเพรสเซอร์–พัดลมแบกโหลดเกิน จำเป็นต้อง “จัดสเตจฟิลเตอร์” และวัด ΔP จริง - “ERV ไม่คุ้มในเมืองร้อน”
→ ตรงกันข้าม เขตชื้นคือพื้นที่ที่ ERV คุ้มที่สุด เพราะคุมทั้งความร้อนและความชื้นของลมเข้า
13) เช็กลิสต์สรุปสำหรับเจ้าของอาคาร/ผู้ออกแบบ
- กำหนด เป้า CO₂ และ RH ของพื้นที่หลัก
- คำนวณ อัตราลมสด จาก “คน + พื้นที่” แล้วเผื่อความผันผวน
- เลือก พัดลม EC หรือ พัดลม + VFD เพื่อปรับรอบตามโหลด
- จัดลำดับ ฟิลเตอร์แบบหลายชั้น + ΔP Gauge ทุกชั้น
- พิจารณา ERV/HRV ในเมืองร้อนชื้นเพื่อลดโหลดรวม
- ดีไซน์ดักท์ให้ ความเร็วเหมาะสม/เสียงต่ำ และเว้นระยะตรงหน้า–หลังพัดลม
- ติดตั้ง เซนเซอร์ CO₂/RH/Temp + DCV และเชื่อม BMS/IoT พร้อมบันทึกพลังงาน
- ทำ T&B (คอมมิชชันนิ่ง) และตั้ง Baseline ก่อนส่งมอบ
- วางแผน PM/PdM ชัดเจน พร้อมงบฟิลเตอร์และชิ้นส่วนสึกหรอ
14) FAQ (ถาม–ตอบฉบับเร็ว)
Q: Fresh Air System ต่างจาก Ventilation ธรรมดาอย่างไร?
A: Fresh Air เน้น “นำอากาศภายนอกที่ผ่านการกรองและปรับสภาพ” เข้ามาอย่างควบคุมได้ ส่วน Ventilation กว้างกว่า ครอบคลุมทั้งลมจ่าย–ลมทิ้ง–ควัน–กลิ่น ฯลฯ
Q: ต้องใช้ HEPA ไหม?
A: เฉพาะโซนเสี่ยง/สำคัญ เช่น ห้องผ่าตัด/คลีนรูม ส่วนออฟฟิศ/ร้านค้า เลือกฟิลเตอร์ระดับกลาง–สูงที่สมดุลพลังงานและคุณภาพอากาศ
Q: ถ้าอาคารเล็ก คุ้มไหม?
A: คุ้มในแง่สุขภาวะและกลิ่น/ความชื้น โดยเฉพาะร้านอาหาร/ฟิตเนส/สปา ใช้ชุด Fresh Air แบบกะทัดรัด+EC Fan+DCV ก็ให้ผลดีมาก
Q: ทำอย่างไรให้ค่าไฟไม่พุ่ง?
A: ใช้ ERV, พัดลม EC/VFD, DCV (CO₂/RH) และตั้ง Minimum OA เท่าที่จำเป็น—ทั้งหมดนี้ทำให้กิโลวัตต์ชั่วโมงรวมลดลงได้จริง
สรุป: Fresh Air System ที่ดี = อากาศดี + พลังงานคุ้ม + ผู้ใช้อาคารแฮปปี้
การทำ Fresh Air System ให้ “ได้ผลจริง” ไม่ใช่แค่ติดตั้งพัดลมดูดลมเข้ามา แต่คือการออกแบบอย่างเป็นระบบ: คำนวณอัตราลมสดแม่นยำ, เลือกฟิลเตอร์เหมาะสม, ใช้ ERV/EC/การควบคุมที่ฉลาด, ทำคอมมิชชันนิ่ง, และบำรุงรักษาเชิงรุก เมื่อทำครบวงจร คุณจะได้ IAQ ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ลดร้องเรียน ลดค่าไฟในระยะยาว และยกระดับมาตรฐานอาคารในสายตาผู้ใช้งานและผู้ตรวจประเมิน